จะว่าไป SEO ผมคิดว่าคือการให้ความหมายของข้อมูลภายในเว็บไซต์ พอเนือหาเรามีโครงสร้าง มีความหมาย Google ก็เข้าใจเนื้อหาของเราได้ง่าย และนำไปจัดลำดับได้ง่ายด้วย ดังนั้นเวลาคนค้นหาเรื่องใดที่เกี่ยวกับเนื้อหาเรามากที่สุด Google ก็จะนำเนื้อหานั้นมาแสดงให้ผู้คนหาได้พบนั่นเองครับ
ดูแต่ละหัวข้อที่นี่เลย !
Toggleอยากรู้ว่ากูเกิ้ลเก็บข้อมูลเว็บ และนำเสนอข้อมูล search results ตามคำค้นของเราได้ใกล้เคียงอย่างไร วีดีโอนี้มีคำตอบ
โดยรวมที่กล่าวมา ยังต้องมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่ทำให้เราติดอันดับต้น ๆ ของ ผลการค้นหาของกูเกิ้ล หรือการทำ SEO : Search Engine Optimization โดยผมสรุปมาให้ดังนี้ครับ
SEO ไม่เกี่ยวข้องกับระบบใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นการให้ความหมายข้อมูลแบบมีโครงสร้าง แต่ WordPress เป็นระบบจัดการเว็บที่มีโครงสร้างความหมายดีชัดเจน
ไม่ว่าคุณจะเขียนเว็บไซต์ด้วยภาษาใด ๆ ก็ตาม คุณก็สามารถให้ความหมายกับเนื้อหาของคุณได้ แค่กำหนดตามที่ Google กำหนดเท่านั้น เช่น Heading หลัก H1, หรือ Heading รองลงไป H2,H3 โดยให้มีคีย์เวิร์ดใน heading ด้วยยิ่งดีครับ
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าโค้ดหน้าเว็บของคุณใช้ HTML 5 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ของ ภาษา HTML โดยเวอร์ชั่นใหม่นี้จะเน้นการระบุพื้นที่ความสำคัญของข้อมูล Semantic Markup: โค้ดเป็นระเบียบทำให้ Search Engine เก็บข้อมูลได้ง่าย โดยมี แท็กเพิ่มมาดังนี้
- <nav>…..</nav> : บ่งบอกว่าเนื้อหานี้คือเมนูของเว็บไซท์
- <footer>…</footer> : บ่งบอกว่าเนื้อหานี้คือ ฟุตโน๊ตส่วนท้ายของหน้ามีความสำคัญน้อยกว่าเนื้อหาหลักใน <body>…</body>
- <aside>…</aside> : บ่งบอกว่าเนื้อหานี้คือส่วนขยายของเนื้อหาที่กำลังอ่านอยู่ โดยส่วนมากเนื้อนี้จะอยู่ในส่วนของ Widget ในระบบ WordPress
Designil กล่าวไว้ว่า
การเขียนแบบ SEMANTIC MARKUP ของ HTML5
อย่างที่บอกไปว่า Semantic Markup เป็นการเขียนให้ Search Engine เข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายครับ ซึ่งจะทำให้เก็บข้อมูลได้เร็วขึ้น และติดอันดับง่ายขึ้นด้วยครับ
ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน เวลาเราจะสร้างกล่องอะไรขึ้นมาสักอัน เราจะใช้แท็ก <div> ใช่มั้ยครับ แต่ตอนนี้พอเป็น HTML5 แล้ว เค้าก็เพิ่มแท็กที่เหมือนกับ <div> ขึ้นมา โดยมีคุณสมบัติเหมือนกัน (ใช้แท็กพวกนี้ ก็เหมือนใช้ <div>) ต่างกันที่แท็กใหม่แต่ละตัวจะบอกความหมายให้ Search Engine รู้ไม่เหมือนกัน เช่น แท็ก <footer></footer> ก็จะบอกว่าอะไรที่ครอบอยู่ในนี้เป็น Footer เว็บไซต์ทั้งหมด
แท็กใหม่ที่เพิ่มเข้ามามีดังนี้: <article>, <section>, <aside>, <hgroup>, <header>, <footer>, <nav>, <time>, <mark>, <figure>, and <figcaption> (สามารถคลิกเพื่อเข้าไปอ่านว่าแท็กอันนั้นมีหน้าที่อะไร)
โครงสร้าง URL บ่งบอกถึง Site Structure
ในระบบ wordpress เราจัดการเนื้อหาของเราที่มาจาก Page และ Post ด้วย Permalink โดย ส่วนที่เป็นโพสจะต้องอยู่กับหมวดหมู่เสมอ ดังนั้นใน Permalink ที่เราจัดรูปแบบเอาไว้ว่าเป็น /%category%/%postname%/ จะมีโครงสร้างประมาณนี้
- https://www.mywebsite.com/pagename
- https://www.mywebsite.com/parent-page/pagename/ = หน้านี้อยู่ใต้ หน้า ข้างบน ดังนั้นเวลาแสดงเมนูก็ต้องจัดให้หน้านี้อยู่เป็น submenu ด้วย
- https://www.mywebsite.com/category/
- https://www.mywebsite.com/category/postname
- https://www.mywebsite.com/tag/tag-name
- https://www.coffeenovel.com/product-category/product-category-name/
- https://www.mywebsite.com/product/product-name
จะเห็นได้ว่า โครงสร้างเหล่านี้ คือความหมายของเนื้อหาของเรา แต่ยังไม่รวมถึงว่า ภายในเนื้อหาของเรามีอะไรบ้างนะครับ
URLชื่อหน้าเว็บใช้ภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้
มีหลาย ๆ คนเถียงกันเยอะเลยว่า ใช้ URL ภาษาไทยสิ ติดอันดับง่ายกว่า จะบอกว่าก็ไม่จริงเสมอไปครับ ภาษาอังกฤษที่แปลดี ก็ติดอันดับได้ ผมว่าขึ้นอยู่กับเนื้อหามากกว่า ผมเคยพิสูจน์มาแล้วครับ ดังนั้นไม่ว่าชื่อหน้าไทย หรืออังกฤษก็สามารถติดอันดับได้เช่นกัน ถ้าเนื้อหาของคุณมาโครงสร้างชัดเจนดีพอ
ข้อดีของการใช้ชื่อหน้าภาษาอังกฤษ ก็คือ ระบบจะแสดงผลชื่อหน้าออกมาครบทุกตัวอักษร ไม่ว่าคุณจะเขียนยาวแค่ไหน แต่ถ้าเป็นภาษาไทยละก็ แสดงมาไม่ครบครับ แถมเวลานำไปแชร์ใน Social media ยังเป็นตัวอักษรยึกยือ อ่านไม่ออกด้วครับ แบบนี้
https://www.mywebsite.com/product-category/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%94/
คุณคิดว่า URL แบบไหนสวยงามกว่ากันครับ
https:// จำเป็นต้องมีแล้วในปี 2024 นี้
การทำให้เว็บมี https:// หรือ SSL เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพราะกูเกิ้ลได้บอกแล้วว่าปี 2020 เว็บไหนใช้เนื้อหาจาก http:// จะมีการบล๊อกเนื้อหานั้น เพราะการทำ https:// เป็นการทำเพื่อเข้ารหัสรักษาความปลอดภัยของข้อมูลแล้ว ยังเป็นการระบุความน่าเชื่อถือข้อเจ้าของเว็บไซต์ด้วยว่ามีตัวตนจริง ๆ